Trending

No tags found
Saturday Sep 16, 2023

“ส.นักวิเคราะห์” หั่นเป้าจีดีพีปีนี้โต 3.09% พิษน้ำมันแพง-คาด Fund Flow หนุน SET สิ้นปี 1,774 จุด-กำไร บจ.เหลือ 89.11 บ./หุ้น

 

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยว่า ผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 27 บริษัทเกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในไตรมาส 2-4 ของปี 2565 โดยสมมติฐานอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 2565 ทุกสำนักมองเป็นบวก โดยค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.09% ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อน (ม.ค.65) ซึ่งเคยใช้สมมติฐานที่ 3.71% ซึ่งมีผู้ตอบที่ให้ตัวเลขต่ำสุดคือ 2.00% สถานการณ์การเมืองโลก โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนส่งผลกระทบประมาณการราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยทั้งปี 2565 สูงขึ้นจากคาดการณ์เดิมเมื่อ 3 เดือนก่อนที่ 69.90 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล มาเป็น 94.03 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล จึงต้องลดคาดการณ์ GDP ของไทยในปีนี้ลง

อย่างไรก็ตาม ทิศทางการลงทุนในปี 2565 ยังได้ผลบวกที่ชัดเจนมาจาก 2 ปัจจัยหลักคือ เงินลงทุนจากต่างประเทศ (Fund Flow) และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรเติบโต โดยมีผู้โหวตถึง 81% และ 74% ตามลำดับ ส่วนปัจจัยด้านลบยังคงมาจากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีผู้โหวตมากถึง 89% ส่วนอันดับ 2 ที่พุ่งแรงในครั้งนี้คือปัจจัยการเมืองในต่างประเทศ มีผู้โหวต 78% ตามติดมาด้วยภาวะเศรษฐกิจโลก และการเตรียมลดมาตรการ QE ทั่วโลก ซึ่งมีผู้โหวต 74% และ 67% ตามลำดับ

ขณะที่ทางด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ความเห็นส่วนใหญ่ 65% มองว่าจะคงที่ตลอดปีนี้ รองลงมาคือ มองว่าจะปรับขึ้น 0.25% ในปีนี้ โดยมีผู้โหวต 27% และสุดท้ายคือ ที่มองว่าจะปรับขึ้น 0.50% ในปีนี้มีผู้โหวต 7%

ส่วนทางด้านคาดการณ์ผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนปี 2565 เฉลี่ยที่ 89.11 บาท/หุ้น เติบโต 9.33% จากปี 2564 อย่างไรก็ตามตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้ต่ำกว่าการสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 89.59 บาท/หุ้นเล็กน้อย ทางด้านคาดการณ์ SET Index ในช่วงไตรมาส 2/65 มีผู้โหวต 44% คาดว่าจะเป็น Sideways และมีผู้โหวต 41% มองว่าIndex จะมีทิศทางลบ ส่วนที่เหลือ 15% มองเป็นทิศทางบวก ส่วนคาดการณ์ SET Index ณ สิ้นไตรมาสอยู่ที่ 1,688 จุด

สำหรับมุมมองจากไตรมาสที่ 2 ไปถึงสิ้นปี คาดว่า SET Index จะแกว่งตัวในกรอบ 1,567-1,774 จุด และปิดสิ้นปี 2565 ที่ 1,747 จุด นักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็นเงินสดและเงินฝากระยะสั้น 13.85%,กองทุนตราสารหนี้ 13.15%,หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 29.46%,หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 27.29%,กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 8.66%,ทองคำหรือกองทุนทองคำ 7.41%,อื่นๆ 0.18%

สำหรับการลงทุนในหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักลงทุนในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก ธนาคาร การท่องเที่ยว และสื่อสาร ขณะเดียวกันแนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจปิโตรเคมี พลังงานและสาธารณูปโภค รวมถึงชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีหุ้นเด่นแนะนำตรงกันมาก คือ BDMS, KBANK และ MAKRO

นักวิเคราะห์ฯยังได้เพิ่มเติมการแนะนำนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจไปยังรัฐบาลได้แก่ การเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ มีนโยบายช่วยเหลือประชาชน โดยดูแลค่าใช้จ่ายผู้มีรายได้น้อย รวมถึงมาตรการให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษี เพื่อกระตุ้นภาคการบริโภค ส่วนด้านช่วยเหลือภาคธุรกิจนั้น ได้แก่ เร่งแผนเปิดประเทศ ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ช่วยเหลือภาคธุรกิจที่โดนผลกระทบจากราคาพลังงานสูงขึ้น

อ้างอิง
https://siamrath.co.th/economy

Back to Top